English Version is on the bottom of article
Just some article

วันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

โกหกก็มีที่มา


โกหกก็มีที่มา



หลายๆคนที่กำลังอ่านบทความนี้อยู่ ผมเชื่อว่าทุกคนเคยถูกโกหก และผมยังเชื่ออีกว่าไม่มีใครไม่เคยโกหก จริงมั้ยครับ ? แต่คุณเคยรู้มั้ยครับว่าทุกคนย่อมมีเหตุผลในการโกหก แต่มันจะมีซักกี่ครั้งที่เหตุผลมันฟังขึ้น หรือ ดีนั้นเอง

ผมเองเคยถูกโกหกมานับครั้งไม่ถ้วนในชีวิต แต่ผมก็โกหกนับครั้งไม่ถ้วนเหมือนกัน แต่ทว่าการโกหกที่ผมโกหกไปนั้น ก็เพื่อที่จะพิสูจน์หรืออยากรู้อะไรบางอย่าง ไม่ก็ไม่ต้องการให้ใครบางคนเสียความรู้สึก นั้นคงเป็นเหตุผลหลักในการโกหก แต่ผมยอมรับเลยว่า นั่นมันส่วนน้อย แล้วพวกคุณละ ส่วนใหญ่แล้วโกหกมีเหตุผลรึป่าว ? แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับการที่เราโดนโกหก เคยไหมที่ถูกโกหก ทั้งๆที่รู้ว่าโกหกแต่ต้องเต็มใจ(จำใจ)เชื่อไปเพราะเหตุผลบ้าๆ แต่ถึงมันจะบ้าอย่างไรมันก็ยังเป็นเหตุผลเดียวในใจที่เราจะเชื่อคนคนนึง และอีกเหตุผลหนึ่งที่เรายอมเชื่อคือ ความไว้ใจ เชื่อใจ และเข้าใจ แต่รู้หรือไม่ว่าการโกหกนั้นมีที่มาอย่างไร ร้อยทั้งร้อยของคนที่โกหก ผมเชื่อว่าต้องไม่บอกเหตุผลที่โกหกแน่ แต่ผมอยากให้ทุกคนที่อ่านบทความนี้ได้รับรู้ว่า การโกหกก็มีที่มา แต่มันอยู่ที่ว่าที่มาของการโกหกนั้นมันสมควรรึป่าว ?




For English

This article is about liar. There are many reasons of liars ,but  how many reasons are sinsible ?



วันพุธที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

น้ำเต็มแก้ว


ทฤษฎีน้ำเต็มแก้ว

เมื่อสร้างบล็อกกันไปแล้วเรามาเริ่มด้วยทฤษฎีแรกกันที่ "น้ำเต็มแก้ว" ซึ่งให้ความหมายได้ว่า แก้วที่มีน้ำอยู่เต็มไม่สามารถรับอะไรได้อีก แต่ในความคิดของผมมันไม่เหมือนกับครับ 

เพื่ออธิบายทฤษฎีนี้ให้เห็นภาพ ผมขอให้เพื่อนๆนึกภาพตาม ไม่ก็ทำการทดลองกันไปเลยนะครับ เริ่มจากหาแก้วน้ำใบนึงใส่น้ำแดง(สีอื่นก็ได้)เอาไว้ให้เต็ทแก้ว แล้วลองเทน้ำเปล่า(ใสๆ)ลงไปในแก้วนั้นเรื่อยๆ ไม่ต้องกลัวน้ำล้นนะครับ ต่อให้มันล้นยังไงก็ให้มันล้นไป แล้วทำไปเรื่อยๆ จะพบว่าสุดท้ายมันก็กลายเป็นน้ำเปล่า


เมื่อนึกภาพนี้ออกแล้ว ให้เปรียบเทียบ น้ำแดงเป็น สิ่งที่มีอยู่แล้วในตัวบุคคล ส่วนน้ำเปล่าคือสิ่งที่เราอยากจะใส่ให้กับคนๆนั้น ส่วนน้ำที่ล้นออกมา คือส่วนที่ผสมกันระหว่างสิ่งเก่าๆกับสิ่งใหม่ๆ ซึ่งเมื่อน้ำกลายเป็นสีใส(น้ำเปล่า)ก็แสดงว่าการทุ่มเทของเราเป็นที่สำเร็จ


ลองเปรียบเทียบเป็นความรักได้ประมาณนี้ว่า มีผู้ชายคนหนึ่งเคยอกหักจากคนที่ตนรัก ซึ่งคนคนนี้รักแฟนเก่าของเขามากจนปิดกั้นตัวเองไม่ให้รักคนอื่น จนมาวันหนึ่งมีผู้หญิงคนหนึ่งมาพบเขาและรักเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่เธอจะทำอย่างไรได้ในเมื่อเขาปิดกั้นหัวใจเขาอยู่อย่างนี้ เธอพยายามเท่าไร เขาก็ไม่หันมาสนใจเธอเลย เธอพยายามทำให้เขาสนใจ และรักเธอตลอดเวลา เวลานานไปเขาก็ยังไม่สนใจ แต่เธอก็ไม่ยอมแพ้ที่จะพิชิตหัวใจเขา จนกระทั่งหวันหนึ่งเธอทำให้เขาลืมแฟนเก่าของเขาได้ เธอดีใจเป็นอย่างมากที่พยายามทุ่มเทหัวใจให้เขาเรื่อยๆ จากเรื่องที่แต่งมาเป็นตัวอย่างนี้ก็แสดงให้เห็นว่า แม้ว่าเราจะทุ่มเทอะไรไปแล้วแม้บางครั้งมันอาจไม่แสดงผลในทันใด แต่ถ้าเราทุ่มเทต่อไปมันก็จะแสดงผลให้เราเองเมื่อถึงเวลา แต่ข้อคิดตามทฤษฎีน้ำเต็มแก้วนั้นมีอยู่ว่า ไม่มีอะไรก็ตามที่จะไม่รับสิ่งใหม่ๆ และ ไม่มีใครที่จะไม่รับสิ่งใหม่ๆเข้ามาในชีวิต

จากแนวคิดเบื้องต้น เพื่อนๆบางคนอาจจะยังงงอยู่บ้าง แต่ผมเชื่อว่าสักวันหนึ่งเพื่อนๆอาจเข้าใจมัน ถ้ามันเกิดกับตัวเพื่อนๆเอง ส่วนเพื่อนๆที่เข้าใจแล้ว ผมว่าบทความฉบับนี้น่าจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆบ้างไม่มากก็น้อย


ขอบคุณที่อ่านบทความ
narjones








For English 


I'm just a student that is the cause of my English is bad , I would like to show my article . Sorry for my English mistake.


This article is about a glass which is full of water that mean this glass can't contain more water. So, human life is like this too. But I don't think like that. I think full glass of water can contain more water, such as you have you pour the red water in a glass until it's full after you pour clear water in that glass until the water in glass is clear. That is why I think full glass of water can contain other water. Like human life like this story.

A man had broken his heart by a woman who is he love very much that make him locked the hearth's door . One day other woman fall in love with him , she do every thing to get in to his heart ,but she can't . But she don't stop to do it. Until one day they fall in love together. This story is telling that No one can resist good things in life

Thank You

แถลงการณ์




แถลงการณ์จากเจ้าของบล็อก


บล็อกนี้ได้สร้างขึ้นเพื่อให้แนวคิดต่างๆเกี่ยวกับการใช้ชีวิต ซึ่งต้องขอบอกไว้ก่อนเลยว่า บางบทความนั้นก็ไปก๊อปปี้ ดัดแปลงหรือแก้ไข หรือนำมาขยายความเพิ่มเติม มาจากเว็บไซต์ที่มีอยู่แล้ว ส่วนบางบทความนั้นก็คิดขึ้นมาเองโดยอาจเป็นทฤษฎี(อันที่จริงมันก็แค่แนวคิดเท่านั้น แต่เรียกว่าทฤษฎีเพราะมันฟังแล้วดูโก้ดีเท่านั้นเอง) หรือความรู้สึกของผมก็เป็นได้ ดังนั้นบทความพวกนี้จะแฟงไปด้วยความรู้สึกโดยส่วนตัวของผมเอง ส่วนเรื่องเนื้อหาสะระต่างๆ คงหนีไม่พ้นเรื่องมุมมองต่างๆในการดำเนินชีวิต ซึ่งตอนนี้ผู้อ่านหลายๆคนอาจจะกำลัง งง ซึ่งผมก็ยกตัวอย่างไม่ถูก แต่ถ้าได้อ่านบทความของผมแล้วคงจะเข้าใจได้ว่ามันเป็นอย่างนี้นี่เอง ตามที่ได้กล่าวไว้ ณ เบื้อต้นว่าบางบทความนั้นแฝงไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกของผม ดังนั้นอาจมีคำบางคำ หรือประโยคบางประโยคที่ไม่สุภาพ และ/หรือ รุนแรง ซึ่งอาจจะขัดหู ขัดตา ขัดใจ ใครก็เป็นได้ ดังนั้นผมจึงต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย

ที่มาของการสร้างบล็อกนี้ขึ้นก็คือว่า ผมเป็นคนที่มองโลกไม่เหมือนคนอื่นเขาซักเท่าไร ซึ่งการมองโลกในแง่มุมที่แตกต่างของผมนี้เองทำให้ผมมีความคิดแตกต่างจากเพื่อนคนอื่นๆ ในห้อง ในโรงเรียน มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว จึงมีเพื่อนๆหลายคนเข้ามาปรึกษาเรื่องโน้น เรื่องนี้ เรื่องนั้น ตั้งแต่เรื่องเรียนยังไงให้รู้เรื่อง ทำยังไงให้นอนหลับง่ายๆ แม่ด่ามาทำยังไงดี อยากเที่ยวแต่ไม่กล้าขอแม่จะขอไงดี อยากขอผู้หญิงเป็นแฟนแต่ไม่กล้า สารพัดไปหมด ซึ่งผมก็ให้คำปรึกษาแทบทุกครั้งไป บางครั้งเพื่อนก้อไม่เชื่อคำแนะนำ บางครั้งก็ไม่มีอะไรมาเป็นหลักฐานให้น่าเชื่อถือ ซึ่งถ้าหากไม่น่าเชื่อถือเพื่อนบางคนอาจไม่สบายใจก็เป็นได้ ผมจึงอ้าง ทฤษฎีมา โดยซึ่งทฤษฎีนี้ มีทั้งคิดเอง จากหนังสือเล่มต่างๆ หรือเคยได้ยินจากที่ไหนซักแห่ง แต่โดยส่วนใหญ่แล้วคิดเองทั้งนั้น ซึ่งทฤษฎี(แนวคิด)ที่ผมคิดเองนั้น ผมจะเรียกมันว่า โน๊ตลอว์(Note's Law) หรือแปลเป็นภาษาไทยว่า กฏของโน๊ต(ผมมีชื่อเล่นว่าโน๊ต) ซึ่งสาเหตุที่เรียกอย่างนี้ก็เพราะว่า เรียนมาเยอะ มีกฏของคนนั้นคนนี้ ก็อยากมีบ้าง ก็เลยเอาชื้อนี้ละกัน เมื่อให้คำแนะนำเพื่อนมากขึ้นเรื่อยๆ กฏของโน๊ตก็มากขึ้นเรื่อยๆ จนไม่รู้ว่าจะเอาไปไว้ไหนก็ได้แต่เก็บไว้ในใจ บางอันก็ลืม บางอันก็เลือนลาง เพราะส่วนใหญ่คิดสดทั้งนั้น จนมาวันหนึ่งนั่งเล่นเฟสบุ๊ค จู่ๆก็มีเพื่อนส่งเว็บมาให้เว็บหนึ่ง ซึ่งเป็นบล็อกของเว็บไซต์นี้ จึงทำให้ผมเกิดความคิดขึ้นมาว่า นี่ไงคลังเก็บทฤษฎี ทั้งได้เก็บทฤษฎีไว้ได้ไม่หาย ทั้งได้แบ่งปันคนอื่นอีก ประโยชน์สองต่อเลย ที่เล่าไปในย่อหน้านี้ทั้งหมดเป็นที่มาของบล็อกนี้


ทิ้งท้ายกันซักหน่อยผมเองเป็นคนที่ไม่ใช่ว่าจะเก่งภาษาไทย อีกทั้งเล่นแชตบ่อยจนเกิดภาษาย่อๆ ผิดๆเพี้ยรๆ หรือเรียกว่าภาษาวิบัติ ซึ่งถ้าหากมันมีก็ต้องขออภัยด้วย บางครั้งอาจเกิดขึ้นเพราะไม่ตั้งใจ บางครั้งเจนตาให้ดูน่ารักน่าสนใจ ซึ่งถ้าหากมีก็ช่วยอย่ารำคาญกันนะครับ ถ้าได้รับการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการใช้ภาษาของผม ผมจะปรับปรุงในครั้งหน้าให้ แต่ผมไม่มั่นใจว่าจะทำได้ไหม แต่จะพยายามให้มันน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้


ขอบคุณที่อ่านจนจบครับ
 narjones         
(เจ้าของบล๊อก)



ป.ล.narjones คือชื่อบนโลกอินเทอร์เน็ตของผม












For English


My blog had visited by many people who don't use Thai ,that make me to write my article in two language . So there will be many mistake in my articles and sorry if you don't understand my article, because I'm just a student.